สูตรอาหารใหม่ของฟาร์ม เอกชูก้า

  1. น้ำผึ้งป่า เดือน5
  2. แคลเซี่ยม (calcilux)
  3. เกสรผึ้ง
  4. ยางไม้ผง
  5. ไข่ต้ม
  6. อกไก่ต้ม
  7. น้ำสะอาด



ปั่นรวมกัน
 ส่วนแอปเปิ้ล เราจะให้แยกต่างหาก



 ในสูตรอาหารนี้ เราออกแบบให้ใกล้้เคียงกับอาหารในธรรมาชาติ
ผลลัพท์ที่เห็นได้ชัดเจนคือ 
    1. ขนจะแน่นเป็นสีเทา-ขาว เหมือนตอนเป้นเด็กๆ ตัวที่ขนเหลือง ก็จะผลัดขนใหม่ขึ้นมาเป้นสีเทา-ขาว
    2. สุขภาพภายในดี ตัวแม่พันธ์ผลิตน้ำนมได้มีคุณภาพ ส่งผลให้ลูกชุก้า สมบรูณ์ แข็งแรง โตไว 
       เราได้ทำการทดลองสูตรอาหารสูตรนี้มาเป็นระยะเวลา 6 เดือน และได้ให้สูตรนี้กับลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องขนเหลือง ได้ผลดีเป้นอย่างมากครับ
                                เรามาดูความเปลี่ยนแปลงของสีขนกัน



4 รูปข้างบนนี้ เป็นการใช้อาหารสูตรของที่ฟาร์มเราในอาทิตย์แรก
จะเห็นได้ว่า เริ่มมีขนสีเทาขึ้นมาแแซมขนที่สีเหลืองน้ำตาล

ต่อจากนี้ จะเป็นรูปที่ได้ให้อาหารสูตรนี้ เข้าสู่อาทิตย์ที่ 2
จะเห็นได้ว่า ขนสีเทาเริ่มแทงขึ้นมามากขึ้น
และนี่คือ ผลจากการให้อาหารสุตรนี้
ถ้าผู้ที่เริ่มเลี้ยงใหม่ ให้อาหารที่ถูกสุขลักษณะตั้งแต่เริ่มเลี้ยง
ชูก้าของคุณก็จะสวยตั้งแต่ต้นจนโต


ปล.อาหารที่กล่าวมาข้างต้น ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะมีผลข้างเคียงอาจตายได้

แล้วคราวหน้า จะเอารูปตัวที่ทดลองให้อาหารสูตรนี้ตั้งแต่แยกออกจากแม่มาให้ชมกันครับ











เอกชูก้า บน นิตยสาร "ผู้จัดการรายสัปดาห์"

        




'ชูการ์ไกลเดอร์' สัตว์เลี้ยงบินได้ ตัวละแสน

ผู้ ที่นิยมเลี้ยงสัตว์คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ชูการ์ไกลเดอร์” สัตว์เลี้ยงน่ารัก ที่ขณะนี้ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดฮิต ติด 1 ใน 10 ของคนที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนยามเหงา คุณคงอยากรู้แล้วใช่ไหมว่าอะไรกันนะ? ที่ทำให้หลายคนคลั่งไคล้ในความน่ารักของเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวนี้ วันนี้ทีมงาน m-petจะพาคุณไปท่องอาณาจักรสัตว์เลี้ยงบินได้ และสัมผัสความน่ารัก ขี้อ้อนของเจ้า ชูการ์ไกลเดอร์ แบบตัวเป็นๆกันเลย
     
       ปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่า สัตว์เลี้ยงที่หากินกลางคืนอย่างชูการ์ไกลเดอร์ กำลังเป็นที่นิยมของคนเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่มีเวลามาใส่ใจสัตว์เลี้ยงมากนัก แต่ชูการ์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนเลี้ยงได้ เนื่องจากวิถีการดำรงชีวิต และลักษณะนิสัยของสัตว์ประเภทนี้ ได้เข้ากันกับไลฟ์สไตล์ของคนในสังคมปัจจุบันได้ดี แค่เวลาเพียงไม่นานเจ้าชูการ์ก็เข้ามาโดดโลดเล่นในกระเป๋าของคนรักสัตว์เป็น จำนวนมาก
     
       มารู้จักชูการ์กัน
       ชูการ์ไกลเดอร์ (sugar glider) เรียกสั้นๆว่า “ชูการ์” หลายคนรู้จักในชื่อ “จิงโจ้บิน” เนื่องจาก ชูการ์เป็นสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับเลี้ยงดูลูกอ่อน อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ หมีโคอะลา และจิงโจ้ ชูการ์มาจาก 2 แหล่งคือประเทศออสเตรเลีย และประเทศอินโดนีเซีย หมู่เกาะปาปัวนิวกินี แต่ในออสเตรเลีย ถือว่าเป็นสัตว์สงวนไม่สามารถนำออกมาได้
       สิทธิพล วิสูตร เจ้าของฟาร์มสัตว์เลี้ยง “เอกชูการ์” บอกว่า ฟาร์มของเราจะเป็นสายพันธุ์ที่มาจากอินโดนีเซีย ซึ่งแต่เดิมนั้นอายุตามธรรมชาติของชูการ์สามารถอยู่ได้เพียง 4-5 ปี เนื่องจากอาจโดนสัตว์ใหญ่คุกคามจับไปเป็นอาหารแต่เมื่อคนนำมาเลี้ยงที่บ้าน ถ้าให้อาหารถูกต้องตามโภชนาการแล้ว สามารถอยู่ได้ถึง 15-22 ปี (ในต่างประเทศ) แต่สำหรับคนเลี้ยงชูการ์ในไทยนั้นอายุสัตว์เลี้ยงจะสั้นกว่าเพราะชอบให้ อาหารตามใจคนเลี้ยง คือคนกินอะไรก็ให้อันนั้น อายุก็จะสั้นลงอยู่ได้ประมาณ 7-8 ปีเท่านั้นเอง
     
       ชูการ์เป็นสัตว์กลางคืน และเป็นสัตว์สังคม ชอบอยู่เป็นฝูงประมาณ 6-30 ตัว ตอนกลางคืนจะออกหากิน ส่วนกลางวันจะใช้เวลาเพื่อนอนหลับ ชูการ์มีพังผืดด้านข้างลำตัวตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงข้อเท้าทั้งสองข้าง จึงสามารถร่อนได้ไกลถึง 80-150 เมตรจากบนต้นไม้สูง เมื่อตัวโตเต็มที่จะมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ ลักษณะสีที่มีอยู่จริงในตามธรรมชาติจะมีสีเดียว คือสีเทาดำ ซึ่งเป็นสีเทาแถบดำผ่านกลางลำตัว รอบตา จมูก ใบหู รอบปากและหางมีสีดำ มีนัยน์ตาเป็นสีดำประกาย ที่เห็นสีอื่นๆนอกจากนี้จะเป็นสีจากลักษณะยีนส์ที่ผิดไปจากพันธุกรรมหลัก หรือเป็นยีนส์ด้อยนั่นเอง เช่นผิวสีเผือก เป็นลักษณะที่ผิดปกติซึ่งชูการ์ที่มีสีนี้จะไม่ค่อยแข็งแรงนัก
     
       สัตว์เลี้ยงขี้อ้อน
       ชูการ์เป็นสัตว์ที่มีนิสัยขี้อ้อน ชอบอยู่ติดกับเจ้าของตลอดเวลา และสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก คนเลี้ยงหลายคนจึงชอบลักษณะนิสัยที่น่ารักแบบนี้ของมัน ชูการ์สามารถตอบสนองและเล่นกับคนเลี้ยงได้ง่าย เนื่องจากเป็นสัตว์สังคม และชอบอยู่เป็นกลุ่มในฝูงมากกว่าที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว
       “ชูการ์ เขาจะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เพราะว่าเขาจะหากินกลางคืน ไม่ว่าคุณจะไปเรียนหรือไปทำงานกลับมาตอนกลางคืนเขาก็ตื่นพอดีจึงมีเวลา ปฎิสัมพันธ์กันได้ และการตอบสนองกับมนุษย์มันจะไม่เหมือนกับหนูแฮมสเตอร์หรือกระต่าย ซึ่งสัตว์จำพวกนั้นเชื่องจริงแต่ระดับของไอคิวจะต่ำ คุยด้วยไม่รู้เรื่อง ถ้าเรื่องไอคิวชูการ์เขาวัดมาแล้วว่าสูงกว่าแมว และสามารถเข้าใจคำสั่งบางคำสั่งได้ ซึ่งแมวมีไอคิวใกล้เคียงกับกระต่ายแต่รู้เรื่องมากกว่า ลักษณะเด่นๆของชูการ์คือเป็นสัตว์ขี้อ้อน ชอบอยู่กับเจ้าของ ชอบมุด ซุก ไต่ตามตัว คล้ายๆแมว
     
       ชูการ์เมื่ออยู่กับคนเลี้ยงแล้ว เขาจะเชื่องง่ายมาก แต่บางคนเลี้ยงไม่เชื่องก็มีเพราะให้อาหารอย่างเดียวไม่เคยเล่นไม่เคยดูแล เพราะชูการ์เป็นสัตว์สังคมเขาต้องการการมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบระหว่างกัน โดยส่วนใหญ่ชูการ์จะไม่กัดเจ้าของมีแต่จะงับเล่นๆ หยอกเจ้าของ แต่มีบางตัวที่เลี้ยงไม่เชื่อง เมื่อเราทำอะไรไม่ถูกใจก็มางับบ้างแต่เป็นลักษณะที่งับแล้วปล่อย ไม่ได้ทำให้เราบาดเจ็บ เพียงแต่เพื่อบอกให้เจ้าของรู้ว่าไม่พอใจเท่านั้น”
     
       สัตว์เลี้ยงใหม่ของคนรักสัตว์
       คุณเอกบอกว่า ลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาขอซื้อจะทราบจากการโฆษณาขายผ่านทางเว็บไซต์ในอินเตอร์ เน็ต ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ซึ่งแต่ก่อนเป็นกลุ่มคนที่เลี้ยงสัตว์จำพวกกระรอก กระแต แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเลี้ยงชูการ์มากขึ้นเพราะอย่างแรกคือสัตว์จำพวกกระรอก กระแตเป็นสัตว์ผิดกฎหมาย จึงเป็นการลักลอบเลี้ยงแต่ชูการ์เป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกกฎหมายไม่ว่าจะเป็น ทั้งของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ค่อนข้างง่ายไม่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ อย่างที่สองคือสามารถตอบสนองกับมนุษย์ได้ง่ายกว่า และอย่างที่สามคือเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์คนปัจจุบัน เพราะมันเป็นสัตว์หากินกลางคืน จึงเหมาะสำหรับคนทำงานออฟฟิศที่อาศัยอยู่ตามคอนโดฯ
       “ตอนนี้จะมีลูกค้าเข้ามาดูทุกวัน ถ้าเฉลี่ยแล้วจะขายได้ประมาณวันละ 1 ตัว ซึ่งแล้วแต่ช่วง ที่นี่ส่วนใหญ่จะส่งตลาดต่างประเทศมากกว่า เนื่องจากเขาจะเข้ามาซื้อชูการ์ในเมืองไทย เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดและน่าจะเป็นอันดับ 1 ของโลกเลย ในการเพาะพันธุ์ชูการ์ เนื่องจากคนไทยมีความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยง ประกอบกับสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย อาหาร ผลไม้ที่หลากหลาย และแมลงที่หาได้มากมายในเมืองไทย ทำให้เราได้เปรียบกว่าประเทศอื่น จึงสามารถเพาะเลี้ยงเพื่อการส่งออกได้”
       ในปัจจุบันนี้ประเทศที่เลี้ยงชูการ์มากที่สุด เป็นประเทศสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเมืองไทยส่งชูการ์ไปขายที่ญี่ปุ่นประมาณ 70-80% นอกจากนั้นจะเป็นประเทศจีน ไต้หวัน และตะวันออกกลาง ส่วนประเทศในแถบยุโรปกำลังอยู่ในช่วงติดต่อ และดำเนินการเรื่องการส่งสินค้า
     
       ชูการ์ตัวละแสน
       เห็นตัวเล็กแค่นี้ แต่รู้ไหมว่าราคาไม่เบาเลยทีเดียว เจ้าของฟาร์มเอกชูการ์ บอกว่า “สีเผือกตาดำ (รูซิสติก) หรือสีขาว ราคาเริ่มที่ตัวละ 70,000 บาท ส่วนสีเผือกตาแดง 150,000-200,000 บาท ส่วนสีนอมอลธรรมดา ตัวผู้จะขายตัวละ 1,400 บาท ส่วนตัวเมีย 1,700 บาท นอกจากนี้มีสีโมเสก (Mosaic) ลักษณะเป็นสีด่างๆ ทั่วตัว ราคา 75,000-80,000 บาท และสี ไวท์-เฟลช (White Face) ลักษณะจะแตกต่างจากตัวธรรมดานิดหน่อย คือตรงรอบขอบตา รอบปาก รอบหู คือจะมีหน้าขาวทั้งหมด ซึ่งราคาจะขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจตลาดโลก”
     
       ข้อแตกต่างกันระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย จึงทำให้มีราคาขายที่ไม่เท่ากัน คือตัวผู้จะมีต่อมกลิ่นอยู่ที่หัว มีไว้เพื่อปล่อยกลิ่นเรียกตัวเมียมาผสมพันธุ์ พอโตเต็มที่หัวจะมีลักษณะล้านนิดๆ ส่วนตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้องเหมือนจิงโจ้และจะเลี้ยงลูกในกระเป๋าหน้า ท้องนั้น ตัวเมียสามารถให้ลูกจึงขายต่อได้ ดังนั้นคนจึงนิยมเลี้ยงตัวเมียมากกว่า ชูการ์ที่สามารถขายให้แก่ลูกค้าจะมีอายุประมาณ 2เดือน 3 อาทิตย์ ถึง3 เดือน เป็นต้นไป
     
       อาหารที่เลี้ยงสำคัญที่สุด
       “ฟาร์มเอกชูการ์” เลี้ยงชูการ์อยู่ทั้งหมด 400 กว่าคู่เลยทีเดียว ชูการ์เป็นสัตว์ที่ต้องการพื้นที่ ดังนั้นกรงขั้นต่ำต้องมีขนาดประมาณ 1x1 เมตร เพื่อที่จะมีพื้นที่เล่น และสามารถออกกำลังกายได้ ควรเลี้ยงใส่กรงละคู่ และเลี้ยงตั้งแต่สองตัวขึ้นไปซึ่งต้องมีกรงที่ขนาดใหญ่ขึ้นตามจำนวนที่ เลี้ยง ไม่ควรเลี้ยงตัวเดียว เพราะเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่เป็นฝูงมากกว่าอยู่ตัวเดียว “ชูการ์จะออกมากินอาหารในตอนดึกประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้ว จนถึง 7 โมงเช้าซึ่งก่อนไปทำงานเราสามารถให้อาหารตอนหกโมงเช้าได้ ถ้าตื่นก็จะกินอาหารนิดๆหน่อยๆ พอกลับมาช่วงกลางคืน ประมาณ 2 ทุ่มก็สามารถให้อาหารอีกครั้งได้”
     
       “ทางเราจะเน้นเรื่องความสะอาด และเรื่องอาหาร อาหารนี้แต่เดิมตามธรรมชาติ ชูการ์นั้นจะกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ และแมลง เราจึงเอามาประยุกต์โดยการให้ผลไม้ และแมลงที่ใช้เลี้ยงสัตว์ทั่วไป เช่นจิ้งหรีด หนอกนก อีกอย่างหนึ่งอาหารที่นี่จะเป็นสูตรเฉพาะที่คิดค้นขึ้นมาเอง ประยุกต์จากงานวิจัยของต่างประเทศ ออกแบบสำหรับชูการ์โดยเฉพาะ ซึ่งส่วนผสมจะมียางไม้ เกสรผึ้ง น้ำผึ้ง โยเกิร์ต และแมลง
     
       คนเลี้ยงทั่วไป หลักๆควรให้ผลไม้เพราะจะมีวิตามิน และให้แมลงบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นแอบเปิล นำมาหั่น 4 ส่วน ให้วันละ 1 ชิ้น และมีอาหารโปรตีนเช่นนมถั่วเหลือง นมโยเกิร์ต 1 ช้อน เนื้อไก่ ไข่ และแมลงหมุนเวียนกันไป โปรตีนจะให้น้อยมาก เช่นแมลงวันละ 2-3 ตัวเท่านั้นเอง แต่คนทั่วไปส่วนใหญ่เขาจะเลี้ยงด้วยซีลีแล็ก เพราะราคาถูกแต่การกินซีลีแล็กเป็นประจำจะทำให้ขาดโปรตีนและเป็นโรคอ้วนได้ แต่ที่นี่จะใช้นมเอสบีแล็ก (Esbilac) ซึ่งเป็นนมทดแทนนมแม่สำหรับสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมในช่วงอายุ 4 เดือนแรกก่อนหย่านม และช่วงอายุประมาณ 3 เดือนครึ่ง ควรให้ผลไม้ควบคู่ไปด้วย เมื่อกินผลไม้มากขึ้นจึงลดมื้อของนมลง จนสามารถเลิกนมได้เองและกินผลไม้แทน”
     
       ข้อควรระวังในการเลี้ยง
       ชูการ์เป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก บางทีจึงต้องระมัดระวังในการเลี้ยงดู ถึงแม้ว่าชูการ์เป็นสัตว์ที่ไม่เฉามือ และขี้เล่น แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ชอบคลุกคลีอยู่กับคน จนบางครั้งเจ้าของอาจเผอเรอไม่ระวังเจ้าตัวเล็กได้ แม้กระทั่งการติดเชื้อโรคจากคน หรืออาหารการกินที่เป็นอันตรายต่อชูการ์ คนเลี้ยงจึงควรศึกษาให้ดีก่อน ก่อนที่เจ้าชูการ์ต้องจากไปก่อนวัยอันควร
     
       “ชูการ์เป็นสัตว์กินจุ ถ้าเจ้าของให้เยอะขนาดไหนก็กินเท่านั้น บางตัวถ้าไม่ควบคุมการกินจะอ้วนกลมส่งผลต่ออายุเฉลี่ยจะสั้นลง ซึ่งชูการ์จะชอบอาหารที่มีรสหวาน จึงเป็นที่มาของชื่อ “ชูการ์” ที่แปลว่าหวานนั่นเอง ข้อควรระวังในเรื่องการกินอย่างหนึ่ง คือชูการ์เป็นสัตว์ที่แพ้นมวัว ไม่สามารถกินนมวัวได้ โอกาสตายมีสูงถึง 90%เลยทีเดียว”
     
       ชูการ์ตัวเล็กจะสามารถติดเชื้อโรคจากคนได้ง่าย วิธีการทำความสะอาด โดยปกติแล้วชูการ์จะทำความสะอาดตัวเองโดยการเลีย แต่ถ้ามันสกปรกมาก หรือมีกลิ่น คนเลี้ยงสามารถเอาสำลี หรือกระดาษทิชชูชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวได้ และเช็ดตัวให้แห้ง อย่าใช้ไดร์เป่าแรงเกินไปเพราะอาจทำให้หูเป็นแผลได้ เพราะชูการ์จะมีหูที่บางมาก และเมื่อมีอายุประมาณ 3-4 เดือนจึงจะสามารถตัดเล็บได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เล็บข่วนคนเลี้ยง
     
       “ผู้ที่นำไปเลี้ยงสามารถปล่อยไว้ในห้องได้ ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ลูกค้านำชูการ์ออกมาจากกรงเพื่อเล่นกับเขาและปล่อยให้เขา ออกกำลังกายซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าชูการ์อยู่ตัวเดียว ถ้าคนเลี้ยงไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาเลย สัตว์จะเกิดอาการเครียด ถึงขนาดกัดหางตัวเองขาด หรืออาจจะกัดท้องตัวเองแตกตายเลยทีเดียว ดังนั้นควรเลี้ยงเป็นคู่จะดีกว่า จะได้เป็นเพื่อนเล่นกัน
     
       ปัญหาส่วนมากคือเขาจะขี้อ้อน ชอบอยู่กับคน ชอบซุก บางทีแอบมานั่งตามซอกขาแล้วคนเลี้ยงไม่รู้แล้วทับขึ้นมาก็ทำให้ตายได้ โอกาสที่ชูการ์ตายจึงเกิดมาจากเจ้าของทับเยอะมาก บางทีปล่อยออกมาเล่นแล้วเราหลับก็ไปทับเขา มีกรณีหนึ่ง คนเลี้ยงไม่ได้ปิดประตูห้องน้ำแล้วชูการ์เข้าไปเกิดตกลงไปในชักโครก คนเลี้ยงมาเข้าห้องน้ำไม่ได้เปิดไฟ เมื่อกดชักโครกชูการ์ก็หายไปเลยลงชักโครกไป ดังนั้นการตายของชูการ์จึงเกิดจากความบกพร่องของเจ้าของ (Human Error) ส่วนใหญ่ชูการ์จึงไม่ได้ตายด้วยตัวของเขา หรือโรคภัยของเขาเองเลย”
     
       การผสมพันธุ์
       ชูการ์ที่มีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์ ตัวผู้ต้องมีอายุ 1 ปี ส่วนตัวเมียอายุ 8 เดือน ระยะเวลาการตั้งท้องประมาณ 16 วัน และจะคลอดออกมาตัวประมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว จากนั้นลูกน้อยจะคลานเข้ากระเป๋าหน้าท้องแม่เองตามสัญชาตญาณ และเลี้ยงลูกอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องนาน 2 เดือนหลังคลอด ซึ่งในกระเป๋าหน้าท้องนี้จะสามารถเลี้ยงลูกได้ถึง 4 ตัว เพราะด้านในมีเต้านมอยู่ทั้งหมด 4 เต้าด้วยกัน
     
       “ส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยประมาณ 70-80% ชูการ์จะคลอดลูกประมาณ 2 ตัว ที่เหลือจะเป็นตัวเดียวส่วน 3 ตัวจะน้อยมากแต่ก็มีบ้าง แต่ 4 ตัวในเมืองไทยยังไม่มีจะมีในต่างประเทศ ของอเมริกาและออสเตรเลีย”
     
       ความพิเศษของกระเป๋าหน้าท้องจะมีแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่คอยทำความสะอาดตัว ลูก น้อยของเขา ในปีหนึ่งชูการ์สามารถตั้งท้องได้ถึง 2-3 ครอก ถ้าร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรงเพียงพอ ก็จะมีความพร้อมในการผสมพันธุ์ได้อย่างต่อเนื่อง
     
--------------------------------------------------------------------------------

     
       คนไหนสนใจอยากเลี้ยงสัตว์เลี้ยงขี้เล่นอย่างเจ้า “ชูการ์ไกลเดอร์” ไว้เป็นเพื่อนยามว่าง สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่คุณเอก “ฟาร์มเอกชูการ์” ซอยรามคำแหง 170 โทร.08-9495-7160 อีเมล : aek_pc72@hotmail.com หรือทางเว็บไซต์ www.sgloverclub.com
       
       
       
       
       
     
       ข่าวโดย  M-Lite / ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
       ภาพโดย พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร

โภชนาการภาค ภาค 3 ตอน นมวัว นมแพะ และโยเกิร์ต

 

                         
วันนี้เรามาว่ากันต่อในเรื่องของนม ซึ่งก็เป็นปัญหาที่คาใจหลายๆคน เช่นทำไมน้องกินนมวัวแล้วตาย เอสบิแลค ก็นมวัว ทำไมกินแล้วดี ทำไมกินนมแพะแล้วท้องเสีย เอ๊ะ โยเกิร์ตก็นมวัว ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?


                          ส่วนประกอบหลักๆของน้ำนมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนมคน นมวัว นมแพะ นมม้า หมี เสือ ชูก้าร์ กระรอก ว่าง่ายๆของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะ
                          มีส่วนประกอบหลัก คือ โปรตีน แยกเป็นเคซีน กับ เวย์   น้ำตาลแลคโตสหรือน้ำตาลนม ไขมันและแร่ธาตุต่างๆ

                          เคซีน เป็นโปรตีนหลักในน้ำนมมีสัดส่วนตั้งแต่ 60% ขึ้นไป มีสีขาวไปจนถึงขาวอมเหลือง

                          เวย์ โปรตีน จะว่าไปก็คือโปรตีนชนิดหนึ่งในน้ำนมซึ่งจะมีปริมาณน้อยตั้งแต่1-10% 

มีคุณสมบัติพิเศษคือร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ง่ายและแทบจะไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยเลย สมัยก่อนใช้ในอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ เพราะจะมี เวย์ โปรตีนเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก จากอุตสาหกรรม การทำเนยและชีส โดยการทำให้เคซีนในน้ำนมตกตะกอนเป็นเนยหรือชีส  แล้วไอ้น้ำใสๆส่วนเกินที่เหลือทิ้งนั่นแหละครับ ปัจจุบันมีความพยายามนำเวย์โปรตีนมาใช้ในอาหารเสริมของมนุษย์ และสัตว์เลี้ยง โดยบวกค่าการตลาดและกำไรมากเกินงามแต่ ที่ผมเคยเช็คราคามาเวย์โปรตีนที่ทางฟาร์มโคนมทางอีสานเค้าขายเพื่อเป็นอาหาร เสริมของหมู ราคาเป็นกิโลนะครับ ขอย้ำเป็นกิโล อยู่ที่กิโลละ 22 บาทไม่ใช่ราคาชั่งเป็นกรัมอย่างที่ อาหารของชูการ์ยี่ห้อดังของต่างประเทศ เค้าขายในราคาแสนแพงนะครับ

                          น้ำตาลแลคโตส เป็นน้ำตาลที่มีอยู่เฉพาะในน้ำนม ปริมาณจะมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของสัตว์แต่ละชนิด กลุ่ม ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีปริมาณแลคโตสในน้ำนมสูง ได้แก่ คน วัว ควาย แพะ แกะ  ส่วนที่เหลือ หมาแมว ม้า ลา กระต่าย กระรอก ชูก้าร์ มีปริมาณแลคโตสในน้ำนมต่ำมาก น้ำย่อยที่สามารถย่อยแลคโตสได้ จะมีในสัตว์ที่อยู่ในช่วงระยะไม่หย่านมหรือลูกสัตว์ แต่ในสัตว์โต จะต้องอาศัยจุลลินทรีย์ ที่มีมากในลำไส้ มาเป็นตัวช่วยในการย่อย เพราะไม่มีน้ำย่อยแลคโตสนั่นเอง


                           หลังจากที่ทำความรู้จักกับองค์ประกอบหลักของนมไปแล้วเรามาดูกันต่อว่าในนมแต่ละชนิด มีข้อแตกต่างยังไงบ้าง


                           นมวัว มีปริมาณโปรตีนสูงมากแต่จะเป็น เคซีนที่มีโมเลกุลใหญ่มากๆ ย่อยยาก น้ำตาลแลคโตสสูง ถ้าน้ำมาให้กับลูกชูการ์หรือชูการ์โต ในปริมาณมากๆโอกาสที่จะเสีย ชีวิตคือ 100% เพราะว่าไม่สามมารถย่อยได้เลยทั้งเคซีนและ แลคโตส ก็จะทำให้น้ำนมค้างอยู่ในลำไส้ ตัวที่จะมาย่อยแทนน้ำย่อย ก็คือแบคทีเรียที่ไม่ดี ทั้งหลายแหล่ จะเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว หรือเป็นอาการที่เรียกว่าแบคทีเรียบูม ทำให้แบคทีเรียในลำไส้ของน้องขยายตัวออกมาจนแน่นลำไส้ไปหมด จนเสียชีวิตหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ท้องอืด


                           นมแพะ มีปริมาณโปรตีนและแลคโตสสูงมากมากกว่านมวัวเสียอีก แต่ในส่วนของเคซีน จะมีโมเลกุลขนาดเล็กกว่านมวัว 4-6 เท่าตัวทำให้ไม่เป็นปัญหาในระบบ ย่อยและการดูดซึมของสัตว์เล็ก แต่ตัวที่จะสร้างปัญหาได้ก็คือแลคโตสที่สูงมาก น้ำย่อยของลูกชูการ์ที่ร่างกายผลิตไม่สามารถย่อยได้ทัน ก็จะทำได้เกิดอาการท้องเสียแต่ถ้าเป็นเคสที่เลี้ยงผสมกับซีรีแลค ค่อยๆให้ จาก ปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณ ก็จะทำให้แบคทีเรียในลำไส้ที่สามารถย่อยแลคโตสได้ ค่อยๆเพิ่มจำนวน จนสามารถย่อยแลคโตสที่มีปริมาณมากๆได้ ว่าง่ายๆที่เรียกกันว่าปรับท้อง


                           นมทดแทนลูกสัตว์ ในที่นี้จะยกตัวอย่าง เอสบิแลคแล้วกันนะครับ เพราะเป็นตัวที่ทางฟาร์มใช้ป้อนลูกชูการ์อยู่ ผลิตมาจากนมวัวก็จริง แต่ผ่านกระบวนการที่ปรับโครงสร้างโมเลกุลของ
เคซีน ให้มีขนาดเล็กและปริมาณของแลคโตสให้อยู่ในปริมาณที่ต่ำ จึงเหมาะสมที่นำมาเลี้ยงลูกชูการ์ ไม่เหมาะที่จะนำมาเป็นอาหารเสริมของชูการ์ โต เพราะราคาค่อนข้าง แต่ถ้าจะใช้ ก็ใช้ได้ครับ

                           โยเกิร์ต  เป็นอาหารที่ผลิตมาจากนมวัวเหมือนกันแต่ ข้อแตกต่างคือการ หมักนมวัวด้วยจุลลินทรีย์ ที่มีประโยชน์  ต่อร่างกาย ซึ่งจุลลินทรีย์ตัวนั้นก็ คือ แลคโตบาซิสลัส เป็นตัวเดียวกันกับที่มีในยาคูลย์หรือนมเปรี้ยวทั่วไป ไอ้เจ้าแลคโตบาซิสลัสนี่เองที่เป็นตัวเข้าไปช่วยย่อยเคซีนที่มีโครงสร้างซับซ้อนให้เล็กลง และก็ยังช่วยย่อย น้ำตาลแลคโตส ให้กลายเป็นน้ำตาลกาแลคโตส และกลูโคส ที่ร่างกายสามารถน้ำไปใช้ได้และจากกระบวนการย่อยแลคโตส ทำให้เกิดกรดแลคติก ซึ่ง ทำให้โยเกิร์ตมีรสเปรี้ยว ไอ้เจ้ากรดแลคติกนี่ ก็จะเข้าไปช่วยให้กระบวนการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ทำงาน ได้ดีขึ้น ว่ากันเป็นภาษาชาวบ้านก็คือว่า การกินนมและโยเกิร์ตในปริมาณที่เท่ากัน ร่างกายได้รับประโยชน์จากโยเกิร์ตได้มากกว่านมค่อนข้างมาก

                            นอกจากนี้แล้วโยเกิร์ตยังจะช่วยปรับสมดุลย์ในลำไส้ เพราะเจ้าแลคโตบาซิสลัสจะเข้าไปฆ่าพวกแบคทีเรียไม่ดีต่างๆ รวมทั้งแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ และยังเข้าไปจับอยู่ที่ผนังลำไส้ ทำให้พวกเชื้อแบคทีเรียและปรสิตต่างๆ ไม่มีที่ยึดเกาะพอไม่มีที่ยึดเกาะก็ถูกกำจัดโดยจำแลคโตบาซิสลัสนั่นเอง แต่ในการเลือกซื้อโยเกิร์ตมาให้น้องๆกินนั้น ควรเลือก รสธรรมชาติ เพราะกระบวนการปรุงรสแตงกลิ่น ทำให้เชื้อจุลลินทรีย์ที่มีชีวิตต้องตายไปอย่างมโหราน ทำให้ประโยชน์ที่ควรจะได้ลดลงไป
                           
             เห็นกันแล้วใช่มั้ยครับว่าโยเกิร์ตมีประโยชน์ เพียงไร   วันนี้คุณให้ลูกๆกินโยเกิร์ตรึยัง

โภชนาการ ภาค 2 ตอน แคลเซียม

              



อัตราส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัส

                           แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตบางสำนักถึงกับเปรียบ ความจำเป็นของแคลเซียมเป็นรองแค่ออกซิเจนเพียงอย่างเดียว 99% จะอยู่ในกระดูก โดยทำงานร่วมกับแร่ธาตุหลายๆอย่างแต่ตัวหลักที่จะทำให้ร่างกายสำมารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้คือ ฟอสฟอรัส โดย มีอัตราส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสในกระดูกอยู่ที่ 2:1 โครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตจะมีการสูญเสียและเสริมสร้างมวลกระดูกอยู่ตลอดเวลา ในอาหารประเภทโปรตีนและผลไม้ ส่วนใหญ่จะมีฟอสฟอรัสสูง หรืออัตราส่วน  ต่ำกว่า1:1 ร่างกายก็จะไปดึงแคลเซียมที่สะสมอยู่ในกระดูกออกมาใช้ ดังนั้นถ้าเจ้าตัวน้อยกินอาหารที่ขาดสมดุลของแคลเซียมก็จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน หรือขาหลังอัมพาต แต่ถ้าร่างกายรับแคลเซียมเกินขนาด ก็จะทำให้เกิดโรคกระดูกงอก โดยส่วนใหญ่จะงอกผิดปกติบริเวณข้อ ก็ทำให้เกิดความพิการได้ หรืออีกกรณีร่างกายก็จะขับแคลเซียมออกมาทางไตแล้วอุดตันเกิดโรคนิ่วอีก แต่ว่ากรณีของแคลเซียมเกิน ยังไม่พบจากการกินอาหารทั่วไป จะพบในกรณีที่เสริมแคลเซียมโดยไม่มีความรู้เพียงพอ โดยอัตราส่วนที่ไม่เป็นอันตราย อยู่ที่ 1:1 - 3.3:1 แต่ที่เหมาะสมที่สุดอยู่ที่ 2:1

                            ดูไปดูมาเริ่มงง เรามาดู อัตราส่วนของอาหารต่างๆดีกว่า

                            ประเภทโปรตีน

                            จิ้งหรีด             0.4:1      

                            หนอนนก          0.2:1

                            ไข่มดแดง       0.07:1

                            เนื้อไก่ส่วนอก  0.08:1

                            ไข่ไก่             0.27:1

                            โยเกิร์ต          1.3:1

                           ประเภท คาร์โบไฮเดรต ผลไม้ต่างๆ

                           แตงกวา           5.25:1

                           แครอท                1:1

                           ฟักทอง            0.48:1

                           มันฝรั่ง             0.1:1

                           ข้าวโพด           0.02:1

                           ผลไม้ 
                       
                           มะละกอ           4.8:1                                        สตอเบอรี่          0.74:1

                           ส้ม                  2.9:1                                        แคนตาลูป         0.6:1

                           แก้วมังกร          2.3:1                                       มะเขือเทศ         0.5:1

                           สัปปะรด           1.63:1                                      ฝรั่ง                  0.45:1

                          องุ่น                  1.44:1                                      กล้วยน้ำว้า        0.37:1
                                       
                          แอปเปิ้ล                1:1                                       ทับทิม              0.27:1

                          กีวี                       1:1                                       มะเฟือง             0.25:1

                          มะม่วง                 0.91:1

                         แตงโม                 0.88:1

                          สาลี่                   0.82:1

  หลังจากดู อัตราส่วนไปแล้ว คงมีหลายๆคนสงสัยเหมือนที่ผมเคยสงสัยแน่ๆว่า แล้วอาหารในธรรมชาติของเค้ามันจะมีอัตราส่วนยังไง

              มาดูกันต่อเลยดีกว่าครับ

              น้ำผึ้ง (ใกล้เคียงน้ำหวานจากดอกไม้)   1.5:1

              ยางไม้                                          1.16:1

              นี่แหละครับเหตุผลที่ชูการ์ตามธรรมชาติถึงไม่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกและฟัน เพราะอาหารหลักมีอัตราส่วนที่เหมาะสม นอกจากนี้ก็จะมีการกินแมลงนิดหน่อยตามฤดูกาล ซึ่งร่างกายสะสมแคลเซียมไว้มากพอแล้ว จึงไม่เป็นปัญหาเมื่อต้องกินแมลงที่ฟอสฟอรัสค่อนข้างสูง

              สำหรับผู้เลี้ยงทั่วไปคงเป็นการยุ่งยากไม่น้อยที่จะต้องมาคำนวณ เรื่องพวกนี้ เพราะนอกจากอัตราส่วนแล้วยังจะต้องดูในเรื่องปริมาณอีก แต่เพียงแค่เพื่อนๆทำตามที่แนะนำไว้ ในกระทู้ก่อนๆ (ผมคำนวณไว้แล้ว)คือแมลงวันละ 3-5 ตัวต่อวัน โยเกิร์ตอาทิตย์ละสองครั้ง ผลไม้หมุนเวียนกันไปโดยเลี่ยงพวกกล้วย ข้าวโพด ทับทิม แล้วเลือก พวกที่มีอัตราส่วนที่ดีมาหมุนเวียน เช่น แอปเปิ้ล มะละกอ แก้วมังกร แค่นี้น้องๆก็มีโภชนาการที่ดีได้แล้วครับ



           รอบหน้าสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องนม กินนมวัวทำไมถึงตาย กินนมแพะทำไมท้องเสีย โยเกิร์ตก็ทำมาจากนมวัว????????  แอสบิแลคก็นมวัว??????????

โภชนาการสำหรับชูการ์ไกลเดอร์ ภาค 1

          

                                    แม้ว่าจะมีการนำชูการ์มาเป็นสัตว์เลี้ยงในระยะเวลาที่นานพอสมควรแล้ว แต่เราจะพบประเด็นสุขภาพที่เกิดจากอาหารได้บ่อยๆ เช่น โรคอ้วน ขาดสารอาหาร ขาด แคลเซียม  โรคฟัน  สาเหตุมาจากการอาหารที่ไม่สมดุล ก่อนที่จะพูดถึงอาหารที่เรานำมาประยุกต์ใช้ เราไปดูอาหารตามธรรมชาติกันก่อนดีกว่า
                                                         
                                          

                                   อาหารหลักตามธรรมชาติ ได้แก่ เกสรของดอกยูคาลิปตัส น้ำหวาน ยางไม้ และแมลง ขึ้นอยู่กับฤดูกาล จะสังเกตได้ว่ามีกลุ่มอาหารหลักอยู่สองชนิดคือ

      โปรตีน
มาจากแมลงและในช่วงที่แมลงไม่มีหรือมีน้อย ชูการ์ก็เลือกที่จะกืนเกสรดอกยูคาลิปตัสซึ่งมีโปรตีนสูงเช่นกัน

      คาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้มาจากน้ำหวานดอกไม้และยางของต้นอคาเซีย ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีความซับซ้อนมาก แต่ชูการ์ จะมีลำไส้ส่วนที่เรียกว่า caecum ที่ใหญ่มากซึ่งในนี้จะมี     จุลลินทรีย์ที่    สามารถย่อยคาร์โบไฮเดรตในยางไม้ และอาจรวมไปถึงการช่วยย่อยโปรตีนในเกสรดอกไม้อีกด้วย น้ำผึ้งเป็นอาหารที่มีโครงสร้างใกล้เคียง กับน้ำหวานจากดอกไม้และยางไม้ค่อนข้างมาก  จึงนิยมนำมาใช้ใน  อาหารผสม สำหรับชูการ์สูตรต่างๆ

                                   
                                 
                                   พฤติกรรมการหาอาหาร ตามธรรมชาติจะบริโภคประมาณ 20% ของน้ำหนักตัว  เป็นสัตว์ที่หากินเวลากลางคืน ใช้วิธีดูดเลียของเหลวจากอาหาร (คล้ายๆ กับเวลาที่เรากินอ้อยแล้วคายกาก) ควรหลีกเลี่ยงอาหารแห้งหรืออาหารแข็ง ฟันล่างจะยาวกว่าฟันซี่บน ไว้สำหรับกัดแทะ  เปลือกไม้หรือเจาะเนื้อไม้ เพื่อกินยางที่ไหลออกมา


                                       อาหารสำหรับชูก้าร์ที่เป็นสัตว์เลี้ยง    อาหารให้ให้จะต้องสอดคล้องกันในเรื่องปริมาณและสารอาหารด้วย ชูการ์บ้าน (ขอ ใช้คำนี้แทนชูการ์ที่เป็นสัตว์เลี้ยงนะครับ)   ควรจะกินอาหารในปริมาณที่น้อยกว่าชูการ์ในธรรมชาติ เพราะใช้พลังงานในการออกกำลังกายน้อยกว่ามาก  อาหารที่ให้ในแต่ละ วันควรมีอัตราส่วนระหว่าง  โปรตีน:คาร์โบไฮเดรต อยู่ที่  25:75    ซึ่งถ้าอัตราส่วนระหว่างโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ไม่สมดุลก็จะมีปัญหาในกรณีที่โปรตีนน้อยไป ก็จะทำให้การสร้างกล้ามเนื้อได้น้อย เจริญเติบโตช้า ขนจะห่างบางตัวถึงกับขนร่วง สีของขนจากสีเทา    ก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ถ้าได้รับโปรตีนมากเกินไป ตับและไตจะทำงาน หนักทำให้อายุสั้นกว่าที่ควร ส่วนในกรณีที่คาร์โบไฮเดรตมากเกินไป จะทำให้ไม่สามารถดูดซึมโปรตีนได้เท่าที่ควร และทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในบ้านเรา แต่ในหลายๆประเทศถือเป็นการทรมานสัตว์ โดนฟ้องร้องเป็นคดีกันอย่างที่เห็นในข่าวกันได้เรื่อย

ด้านล่างเป็นรูปของ ชูก้าร์ที่ขาดสารอาหารและรูปหลังจากที่ปรับเปลี่ยนโภชนาการแล้ว                      

                                     


                                               


                                 อาหารโปรตีน ที่ใช้กันทั่วไป เช่น เกสรผึ้ง จิ้งหรีด หนอนนก หนอนแว็กซ์ ไข่มดแดง ไข่ต้ม ไก่ต้ม(เฉพาะเนื้อส่วนที่ไม่มัน) โยเกิร์ต

หลักๆก็คือแมลงและเนื้อสัตว์ ที่ย่อยง่าย   หรือจะเป็นพวกนมถั่วเหลือง เต้าหู้ ก็ได้ แต่ไม่ควรให้พวกถั่วหรือข้าวโพดดิบ เพราะอาจจะได้รับสารอัลฟ่าทอกซินที่เป็นอันตรายในอาหารตระกูลถั่วได้

                                 อาหารคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้ต่างๆ  น้ำผึ้ง ยางอราบิก หรือซีรีแลค (ไม่ควรให้เป็นอาหารหลัก เพราะอาจจะทำให้ได้รับ คาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
(แต่สามารถใช้เป็นอาหารเสริมได้)อ่านไปอ่านมา เริ่มรู้สึกว่า ทำไมการให้อาหารมันดูยากเย็นอะไรเช่นนี้ แต่ในทางปฎิบัติจริงๆแล้วไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยครับ อาจจะให้ผลไม้หมุนเวียนกันไปวันละหนึ่งสองชิ้น ชิ้นไม่ต้องใหญ่ ประมาณ แอปเปิ้ลลูกกลางที่ขายกันทั่วไป หั่นแปดส่วน ให้เช้าหนึ่งชิ้น เย็นหนึ่งชิ้น
ส่วนมื้อค่ำก็ให้แมลงเล็กน้อย เช่น จิ้งหรีดก็สัก 3-5 ตัว ถ้าหนอนนกก็ประมาณ 5 ตัว แค่นี้ก็สารอาหารและปริมาณก็เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อยแล้วหล่ะครับ

                                 ส่วนตัวที่ผมให้อยู่ ก็จะแบ่งเป็น

                 อาหารโปรตีน ก็จิ้งหรีดเป็นหลัก เพราะโปรตีนสูงไขมันต่ำ (พยายามเลี่ยงหนอนนกเพราะไขมันสูง) ที่เหลือก็ ตั๊กแตน ไข่มดแดง โยเกิร์ต(อาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพราะมีแคลเซียมสูง) สลับกัน หรือถ้าช่วงไหนแมลงขาดตลาดหรือราคาแพงก็จะใช้ไข่กวนกับอกไก่ต้มแทน

                อาหารคาร์โบไฮเดรต จะใช้ผลไม้หลักคือแอปเปื้ล แล้วก็สลับกับ แคนตาลูป แก้วมังกร แตงโม มะละกอ และก็มียางไม้อราบิก

                ถ้าช่วงไหนต้องเดินทางก็อาศัยร้านสะดวกซื้อเป็นตัวช่วยครับ พวกนมถั่วเหลือง โยเกิร์ต หรือน้ำผลไม้แท้ 100%


                                                   




                                                   


                              สารอาหารที่สำคัญมากอีกเรื่องนึงสำหรับชูการ์ คือแคลเซียม ในกระดูกจะมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบหลัก ถ้าได้รับไม่เพียงพอจะเกิดอาการของโรคกระดูกพรุน   ซึ่งไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ เหมือนการที่ขาดโปรตีนแล้วขนร่วง ขนห่าง หรือคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปเป็นโรคอ้วน ลองคิดดูว่าถ้าลูกๆของคุณ กระโดด เล่นอย่างสนุกสนาน แล้วพลาดตกลงมาจากที่สูง โดยที่กระดูกเค้าไม่แข็งแรง จะเกิดอะไรขึ้น บางรายขาดแคลเซียมอย่างรุนแรงจนเกิดอาการขาหลังอัมพาตก็มี โดยที่เจ้าแคลเซียมนี่จะทำงานร่วมกับฟอสฟอรัส  อัตราส่วน ที่เหมาะสมของแคลเซียมกับฟอสฟอรัสควรอยู่ที่ 2:1

เรื่องแคลเซียมถ้าจะเขียนต่อคงอีกยาวค่อยมาต่อกันรอบหน้าแล้วกันนะครับ



                           เครดิต รูปทั้งหมดและข้อมูลบางส่วนจาก : Lucky Glider Rescue & Sanctuary


พัฒนาการและการกินอาหารของเจ้าตัวยุ่ง



                ช่วงอายุ 2.5-3 เดือน ระยะเริ่มต้น

                น้องๆจะมีขนเรียบ บางส่วนเช่น ขนใต้ท้องอาจจะยังขึ้นไม่เต็มที่ ระยะนี้ควรระวังในเรื่องของอุณหภูมิเป็นพิเศษ เพราะลูกน้อยที่อยู่กับแม่จะได้ไออุ่นจากร่างกายของแม่ ซึ่งจะอยู่ ที่ประมาณ 30-32 C ส่วนอุณหภูมิในบ้านเราช่วงกลางคืนบางครั้งอาจจะลดลงถึง 25 C แต่ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะอุณหภูมิภายในห้องจะค่อยๆลดลงทีละน้อย บวก กับชุดเครื่องนอนที่พ่อแม่ของเค้าจัดเตรียมไว้ให้  มีผ้านุ่มๆหรือถุงนอนอุ่นๆ  เด็กๆก็สามารถรับมือได้สบายแล้ว แต่ควรระวังในกรณีที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกระทันหัน เช่น ฝนตก หรือในช่วงนี้ที่ลมหนาวเริ่มพัดมา ควรป้องกันด้วยการหาผ้ามาคลุมกรงหรือตะกร้าของน้องๆเพื่อกันลมไว้ด้วยครับ เด็กๆจะระแวงกับทุกๆอย่างรอบกาย เพราะเค้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วัน (จะลืมตาประมาณอายุ  70 วัน หรือหลังออกจากกระเป๋าประมาณ หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ)

                 อาหารควรให้ปริมาณไม่มากแต่บ่อยๆ ถ้ามีเวลาควรป้อนทุกๆสองชั่วโมง หรือขั้นต่ำวันละ 6 ครั้งในกรณีที่ไม่มีเวลา ในระหว่างป้อน น้องอาจจะฉี่ออกมา เราอาจจะ เอากระดาษทิชชู่วางไว้ตรงก้นน้องเพื่อคอยซับฉี่ไปด้วยก็ได้ ถ้าเพื่อนๆที่ไม่กล้าจับน้องป้อนเพราะกลัวว่าจะจับแรงเกินไป น้องจะเจ็บ ใช้ผ้านุ่มๆห่อตัวน้อง แล้วโผล่แต่ส่วนหัวออกมาก็ได้ครับ



                                                     



                   ช่วงอายุ 3-3.5 เดือน ระยะเรียนรู้


                  ช่วงนี้แหละครับ ที่สมกับฉายา เจ้าตัวยุ่ง เพราะว่าน้องๆ จะเริ่มสนใจสิ่งรอบตัวปีนป่ายและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น ความกลัวและหวาดระแวงลดลงไปมาก  ขนจะขึ้นเต็มและเริ่มฟูขึ้นเรือยๆ เริ่มเรียนรู้การกินอาหารเอง ควรใส่นมลงในจานหรือถ้วยก้นตื้นๆนิดนึง ระหว่างที่กินจะสะบัดหัวตลอดเวลา บางครั้งจะเดินย่ำลงไปในจานนม รอบ กายน้องนี่จะเต็มไปด้วยนมครับ  ถ้าเอากระดาษรองไว้ใต้จานก็จะพอช่วยได้บ้าง หลังจากกินเสร็จ ก็จะเป็นเวลาทำความสะอาดคราบนมที่เลอะครับ

                  ในวัยนี้ จะให้อาหาร ทุกๆ 3-4 ชั่วโมงหรือ ขั้นต่ำวันละ 4 ครั้ง ควรจะให้เค้าเริ่มเรียนรู้อาหารแข็งแช่นผลไม้บ้างโดยการวางผลไม้ชิ้นเล็กๆ ไว้ในกรง เค้าอาจจะไม่กินเลยแค่ดมๆเลียๆ หรืออาจจะกินมากเป็นพายุ แต่ก็ไม่ควรให้ผลไม้ในปริมาณมาก เพราะเราต้องการแค่ให้น้องๆได้เรียนรู้เท่านั้นครับ


                    ช่วงอายุ 3.5-4 เดือน ระยะหย่านม

                   สรีระของเด็กๆในช่วงนี้เริ่มจะใกล้เคียงชูก้าร์ผู้ใหญ่ ต่างกันแค่เพียงน้ำหนักกับขนาดตัว หางจะฟูมาก เริ่มคุ้นเคยและผูกพันกับเจ้าของ  กินอาหารก็ไม่เลอะเทอะอีกต่อไป ถ้า น้องๆเริ่มกินผลไม้อย่างจริงๆจังๆแล้ว ควรค่อยๆลดมื้อของนมลง แล้วเพิ่มในส่วนของผลไม้ทั้งปริมาณและความหลากหลาย จากวันละสี่มื้อก็ค่อยๆลดลงเหลือสาม สอง หนึ่ง  จนเลิกให้นม แล้วเริ่มให้กินอาหารโปรตีนชนิดอื่นๆ  เช่น แมลง โยเกิร์ต หรืออาจจะเริ่มด้วยโปรตีนที่ย่อยง่ายอย่างไข่ก่อนก็ได้ จะไข่ตุ๋น ไข่กวน หรือไข่ผงชง ก็ตามสะดวกครับ  แต่ที่สำคัญห้ามปรุงรสนะครับ ยกเว้นเพิ่มความหอมหวาน ด้วยน้ำผึ้งเล็กน้อยอันนี้ไม่ว่ากันนะครับ



                   ** ช่วงอายุของน้องๆ ส่วนใหญ่เราจะนับจากวันออกจากกระเป๋า ว่าน้องอายุ 2 เดือน แต่บางตัวออกมายังตัวแดงๆอยู่ บางตัวออกมาขนขึ้นเกือบเต็มแล้วก็มี  ดังนั้นเรื่องของอายุเป็นการประมาณการ ควรใช้การสังเกตพฤติกรรมและพัฒนาการร่วมด้วย

อาหารของเจ้าตัวน้อย

 สำหรับเจ้าชูก้าร์ตัวน้อยนั้น จะมีระยะหย่านม อยู่ที่ประมาณ 4 เดือน แต่โดยทั่วไปที่ นำลูกชูก้าร์ออกมาขายกันจะอยู่ที่อายุประมาณ 2.5-3 เดือน

ซึ่ง ยังเป็นช่วงที่เค้ายังไม่หย่านม   ดังนั้นการให้อาหารในช่วงนี้จึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการและความแข็งแรงของ ลูกชูก้าร์เป็นอย่างมาก

ในบ้านเรานิยมใช้ซีรีแลค ซึ่งหาง่าย ราคาไม่แพง และก็สะดวกในการให้ มาใช้  ซึ่งในซีรีแลค มีปริมาณ สารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกชูก้าร์

ทำให้เจ้าตัวน้อยของเราขาดสารอาหาร โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ     สามารถเข้าไปอ่านได้ในบทความ นมทดแทนลูกกำพร้า ของ อาจารย์หมอแก้ว 

http://www.epofclinic.com/wizContent.asp?wizConID=146&txtmMenu_ID=7 

บางท่านก็นิยมใช้นมแพะผสมซีรีแลค น้องๆกินเข้าไปก็ถ่ายเหลว เพราะไม่สามารถย่อยได้ (โอกาสหน้า จะมาอธิบายเรื่องนมแพะอีกรอบนะครับ)

                                          
                                           



           ส่วนในต่างประเทศ จะมีนมทดแทนสำหรับสัตว์ตระกูล มาซูเปี้ยนโดยเฉพาะ เช่น wombaroo biolac (สำหรับลูกจิงโจ้)หรือนมทดแทนสำหรับพอสซัมหลายๆยี่ห้อ 

ในบ้านเรา ที่หาไม่ยากนักก็คงเป็น esbilac กับ kmr (ที่ไม่นิยมใช้เพราะ ขายเป็นกระป๋องใหญ่ ราคาเลยแพง แบบซองหาซื้อยาก)แต่โดยส่วนตัวผมใช้ esbilac

เพราะนมสำหรับแมวไขมันจะสูงกว่า  ส่วนยี่ห้ออื่นๆเช่น wombaroo milk replacer (แบบซอง) ก็เห็นมีผู้นำเข้ามาก็หลายราย ราคาก็ไม่แพง

ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลเลยครับ   ผู้สนับสนุนเว็ป thaipet นี่ก็มีหลายเจ้าครับลองเลือกหาดู

     
          ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดหลังจากที่เปลี่ยนมาให้นมทดแทน ก็คืออึเค้าจะออกมาน้อยมาก อึไม่เหลว แล้วก็สีดำเข้ม เหมือนกับลูกชูก้าร์ที่เพิ่งแยกออกมาจากแม่ใหม่ๆ

แต่จะฉี่บ่อย  สาเหตุมาจากการที่สามารถดูดซึม สารรอาหารได้มาก ไม่มีกากอาหารส่วนเกิน ส่วนตอนที่ให้ซีรีแล็ค จะอึเยอะ ค่อนข้างเหลว สีน้ำตาลอ่อนๆ

ที่อึ เยอะเพราะว่ากากอาหาร(fiber)สูง   เจ้าตัวน้อยไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้มากนัก  อีกเรื่องก็คือในส่วนความแน่นของขนจะเห็นได้ชัดมากๆครับ

จ่ายเพิ่มอีกแค่ไม่ถึงร้อยแต่เพื่อสุขภาพของลูกๆเพื่อนๆคิดว่าคุ้มค่ามั้ยหล่ะครับ



             สำหรับเพื่อนสมาชิกที่จะมาแลกเปลี่ยนความรู้หรือเพิ่มเติมส่วนที่ยังตกหล่น เชิญตามสะดวกครับ เพราะยังมีเพื่อนสมาชิกหลายๆท่านที่

มีความรู้ แน่นๆและผมก็แอบชื่นชมติดตามอยู่   ที่ไม่ค่อยได้ออกมาให้ความรู้เนื่องจากเหตุผลหลายๆอย่าง เพื่อที่มือใหม่ๆจะได้ไม่ต้องลองผิดลองถูก

เหมือนอย่างที่พวกเราเคยเป็นมาครับ